ปฏิบัติการบันได 9 ขั้น ฟื้นฟูข้าวนาปรังหลังน้ำท่วม
ความยั่งยืนสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
นายโกวิทย์ ดอกไม้
โทร. 081-8769113
1. จะให้ได้ข้าวไร่ละ 1,000 กิโลกรัม
2. จะบริหารจัดการเงินที่ภาครัฐช่วยเหลือไร่ละ 2,222 บาทให้เพียงพอกับการทำนา
3. จะทำชาวนาเลิกใช้สารเคมี เลิกใช้ปุ๋ยเคมี แต่ให้ผลผลิตเพิ่ม และมีต้นทุนถูกลงกว่าเดิม
หลังวิกฤติน้ำท่วมเหลืออะไรในนาข้าว
การใช้วิกฤติให้เป็นโอกาสในการทำนาหลังน้ำท่วม ปี 2554
ต้องเปลี่ยนมลพิษที่เป็นมวลสาร 500 กิโลกรัม / ไร่ ทำให้เป็นมวลพลังงานที่เกิดประโยชน์ต่อต้นข้าว โดยการใช้อีเอ็มเทคโนโลยี ด้วยการดำเนินการดังนี้
1. ขยายอีเอ็ม 1 ลิตร ให้เป็นอีเอ็ม 20 ลิตร คือ เอาอีเอ็ม 1 ลิตร กากน้ำตาล 1 ลิตรเทลงในแกลลอน 20 ลิตร แล้วเติมน้ำสะอาดที่ดื่มได้ลงไปในแกลลอนอีก 18 ลิตรขยายเชื้อทิ้งไว้ 5-7 วัน เรียกว่า “อีเอ็มขยาย”
2. เตรียมถัง 200 ลิตร นำไปไว้ที่นา เติมอีเอ็มขยาย 1 ลิตร เติมกากน้ำตาล 1 ลิตร แล้วเติมน้ำสะอาดจนเต็มถัง 200 ลิตร สาดลงในแปลงนาทั้งหมด เพื่อสลายสารพิษ สารเคมี ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าหญ้า และสลายมลพิษ500 กิโลกรัมต่อไร่ ให้กลายเป็นปุ๋ยในนาข้าวหลังน้ำลด
3. หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป หว่านอีเอ็มโบกาฉิอัตรา 200 กิโลกรัมต่อไร่ เตรียมถัง 200 ลิตร ไว้ที่นา เติมอีเอ็มขยาย 1 ลิตร เติมกากน้ำตาล 1 ลิตร แล้วเติมน้ำสะอาดจนเต็มถัง 200 ลิตร สาดลงในแปลงนาทั้งหมด ทำเหมือนข้อ 2
5. เตรียมเมล็ดพันธุ์ข้าว ด้วยการแช่เมล็ดพันธุ์ด้วยน้ำเกลือ และ น้ำอีเอ็ม ให้ลำดับขั้นตอนดังนี้
5.1 นำถัง 20 ลิตร เติมเกลือลงไปในถัง 1.50 กิโลกรัม เติมน้ำลงไป 15 ลิตร คนให้เกลือละลาย แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวแช่ลงในน้ำเกลือที่ละน้อย เมล็ดข้าวที่ลอยทั้งหมดให้คัดแยกออกไปให้เป็ด ไก่กิน อย่าเอามาทำพันธุ์เด็ดขาด
5.1 นำถัง 20 ลิตร เติมเกลือลงไปในถัง 1.50 กิโลกรัม เติมน้ำลงไป 15 ลิตร คนให้เกลือละลาย แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวแช่ลงในน้ำเกลือที่ละน้อย เมล็ดข้าวที่ลอยทั้งหมดให้คัดแยกออกไปให้เป็ด ไก่กิน อย่าเอามาทำพันธุ์เด็ดขาด
5.2 นำถัง 20 ลิตร เติมอีเอ็มขยายครึ่งแก้ว แล้วเติมน้ำสะอาดลงไป เอาเมล็ดพันธุ์ข้าวจากก้นถังมาแช่ นาน 30 นาทีแล้วนำมาบรรจุในกระสอบ หมักให้เปลือกข้าวนุ่ม 1-2 คืน จึงนำเล็ดพันธุ์ข้าวไปหว่าน
6. อัตราการหว่านเมล็ดพันธุ์ ให้เจ้าของนาช่วยวิเคราะห์ตามคำพังเพยโบราณ คือ “ดินเลวหว่านถี่ ดินดีหว่านห่าง” ดังนั้น ในปีแรกของการใช้อีเอ็มเทคโนโลยี จะให้ใช้เมล็ดพันธุ์เริ่มต้นที่ 12 กิโลกรัม / ไร่ เมื่อใช้อีเอ็มต่อ ๆ ไป ในรอบที่ 2 รอบที่ 3 รอบที่ 4... จึงค่อย ๆ ลดเมล็ดพันธุ์ลงเป็น 10 กิโลกรัม / ไร่... 8 กิโลกรัม / ไร่ ตามลำดับ เพราะเมื่อดินดีแล้ว จึงไม่มีความจำเป็นต้องใช้เมล็ดพันธุ์จำนวนมากให้สิ้นเปลืองต่อไป และการใช้เมล็ดข้าวจำนวนมาก ประการแรกคือ สิ้นเปลืองเงินแล้ว ทำให้ต้นข้าวขึ้นถี่ หนาแน่น ต้นข้าวถี่ ต้นไม่แข็งแรง ไม่ทนทนต่อการเกิดโรค เหมือนเป็ด-ไก่ที่เลี้ยงแออัดในฟาร์มจำนวนมาก ประการที่ 2 คือ ข้าวเป็นพืชที่ชอบแสง สรีระของข้าวทุกส่วนต้องได้อาบแดดทั้งวัน ถ้าหากลำต้นไม่อาบแดดเต็มที่ เพราะแต่ละต้น แต่ละกอต้องแย่งแสงแดดกันและกันจึงเกิดปัญหาตามมาคือต้นอ่อนแอ ประการที่ 3 ดินที่โคนต้นข้าวที่มีอีเอ็มทำงานอยู่กับดินกับน้ำต้องได้อาบแดดด้วย เพราะอีเอ็มมีจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงจะดึงแสงแดดให้เกิดจุลพืช แพลงค์ตอน สาหร่าย พืชชั้นต่ำที่แตกตัวมีเซลล์เดียว หรือหลาย ๆ เซลล์ พืชชั้นต่ำเหล่านี้จะเป็นตัวตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้ลงสู่น้ำ พี่น้องชาวนาจะไม่ต้องไปเสียเงินซื้อปุ๋ยยูเรียมาช่วยให้ข้าวเขียว ประหยัดเงินช่วยพี่น้องทำให้ข้าวเขียวได้โดยไม่ต้องลงทุน และประการสุดท้ายจะทำให้กุ้ง หอย ปลา กบ เขียดตามมาเป็นระรอก ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวไม่ไกลเกินไป เพราะห่วงโซ่อาหารเกิดขึ้นจากแสงแดดส่องถึงพื้นนา จึงเกิดเป็นจุลพืชเป็นอาหารให้กับสิ่งมีชีวิตอีกมากมาย
ข้าว เห็ดฟาง และความสัมพันธ์กับจุลินทรีย์อีเอ็ม
ถ้ามีปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพทำให้ฟางข้าวเกิดราเห็ดฟางในลำต้นแล้ว ต้นข้าวจะแข็งแรง เหมือนเป็นวัคซีนให้กับต้นข้าว ในกระบวนการหมักปุ๋ย อินทรีย์ชีวภาพอีเอ็ม (อีเอ็มโบกาฉิ) จะพบราเส้นใยสีขาวจำนวนมาก เพราะในแกลลอนจุลินทรีย์อีเอ็มมีเชื้อบรรพบุรุษของเห็ดสมุนไพรอยู่คือ Fungi วิธีการเพาะเลี้ยงเชื้อทำไม่ยาก ไม่ซับซ้อน วันหนึ่งใช้แรงงานคน 2-3 คนก็ทำได้วันละหลายพันตัน ปุ๋ยที่ว่านี้คือ “อีเอ็มโบกาฉิ” เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาเคยสอนให้พี่น้องทำเป็นครอบครัว โดยทำทีละปีบ ทีละกระสอบ โด่งดังในภาคอีสาน กำเนิดขึ้นจากป่าดงนาทาม ที่พลเอก พิเชษฐ์ วิสัยจร ทำให้คนไทยรู้จักและเป็นที่ยอมรับคนทั้งประเทศ แล้วขยายผลสู่ปลายด้ามขวาน จึงเป็นครั้งแรกของชีวิตที่ต้องจารึกว่า บัดนี้ได้คืบคานสู่ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว
กว่า 40-50 ปีที่พี่น้องเดินหลงทาง พี่น้องเกษตรกรได้ใช้สารพิษ สารเคมี ปุ๋ยเคมีปีละ 4 ล้านตัน ประเทศไทยนำเข้าสารเคมีทางการเกษตรมากที่สุดประเทศหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยาฆ่าแมลงมากเป็นอันดับ 5 ของโลก ใช้ยาฆ่าหญ้าเป็นอันดับ 4 ของโลก สารเคมีเหล่านี้ได้ถูกทิ้งทำลายทุกสิ่งลงในดินพ่อ ซึ่งเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ ทิ้งมาช้านากว่า 50 ปี พระเจ้าหรือองค์อัลเลาะห์ไม่มีพระประสงค์จะให้ดินแดนสุวรรณภูมิปนเปื้อนกับสิ่งที่ชั่วร้ายเหล่านี้มานานนับ 40 – 50 ปี พระองค์จึงได้ทรงประทานมวลฝนมาสลายให้ดินแดนสุวรรณภูมิสะอาด เพราะพระองค์ทรงรู้ด้วยว่าที่ไหนสกปรกบ้าง ด้วยสายพระเนตรที่พระองค์มองทะลุทุกมิติของจักรวาล ว่าที่ไหนจะเป็นอันตรายต่อสัตว์โลกบ้าง พระองค์กลัวเป็นพิษ เป็นภัยต่อสรรพสัตว์น้อยใหญ่บนโลก พระองค์จึงประทานลมมรสุมห่าใหญ่ขึ้น ถี่ขึ้น มวลฝนมากขึ้น เมืองใหญ่ ๆ ย่านเศรษฐกิจ มีน้ำเน่า น้ำเสีย น้ำโสโครก น้ำสกปรกมีที่ไหนพระองค์มีพระประสงค์ต้องล้างให้สะอาดเหมือนการล้างภาชนะก่อนเก็บเข้าตู้ จึงมีวิธีการเดียวกันคือ ล้างด้วยน้ำ ผู้เขียนนั่งดูทีวีข่าวน้ำท่วม ดูไป นั่งขำไป ที่ทุกฝ่ายต่างพยายามใช้สติปัญญาที่เชี่ยวชาญของตนเอง ขวางกระแสของพลังแห่งจักรวาลที่ฟ้าสั่งลงมา สิ่งที่เราทำคันดินกั้นทางน้ำที่มุ่งหน้าไปหาแหล่งโสโครก แต่เรากลับไม่ยอมให้น้ำชะล้างสิ่งโสโครกออกไป นึกหรือว่าฟ้าไม่มีตา ผู้เขียนได้แต่นั่งหัวเราะอยู่คนเดียว เพราะมนุษย์กำลังแสดงพลังกาย พลังสมองให้อยู่เหนือธรรมกฎแห่งธรรมชาติ ฝันไปเถอะ โลกใบนี้เป็นโลกในอุดมคติขององค์อัลเลาะห์ ทรงประทานให้เกิดความสวยสดงดงามและสมส่วนสมดุลหาที่ติไม่ได้ แต่เมื่อมนุษย์เข้ามาอาศัยเข้ามาปรับย้ายมวลสาร ไปต่อเติมนี่ เอาไปถมนั่น แล้วยังเอาสิ่งชั่วร้ายทำลายแผ่นดินที่เป็นสมบัติของพระองค์ ที่พระองค์ให้เรายืมเป็นที่อาศัย เรายังมาทำลายในสิ่งที่พระองค์ได้บรรจงสร้างไว้อย่างสมส่วนสมดุลดีแล้ว ผู้เขียนก็เลยมานั่งขำผู้ว่าหลาย ๆ จังหวัดที่โดนน้ำท่วมวางโครงการกั้นกระแสน้ำ ผู้เขียนบอกว่ายังน้อยไปกับพลังของจักรวาลที่พระองค์ส่งลงมาเพื่อทำความสะอาดโลก บทเรียนในอดีตที่มนุษย์เราไม่รู้สำนึกผิด ไม่รู้ดี ชั่ว เราก็ยิ่งจะเดือดร้อนมากกว่านี้ แล้วทำไมไม่ช่วยกันนำเอาจุลินทรีย์อีเอ็ม ที่พระองค์ทรงประทานมาคู่กับโลก ให้เป็นมรดกโลก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่เคยเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 500 ล้านปีนำไปปรับความสมดุลกับระบบนิเวศบนโลกนี้ พระองค์จะ สรรเสริญเป็นยิ่งนัก
ที่ต้องเสียเวลาไปสาธยายเพราะพี่น้องเกษตรกรของเราทำผิดมามาก หากไม่อธิบายขยายความ พี่น้องทำไร่ทำนาก็จะสูญเปล่าอีกตามเคย ผู้เขียนไม่ต้องการชวนเชื่อ แต่วิเคราะห์เหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นความเท็จ หรือจริงแล้วแต่ภูมิปัญญาจะสามารถรับเอาไว้ได้ ผู้เขียนมีความประสงค์จะนำพาพี่น้องคืนจุลินทรีย์อีเอ็มลงสู่ที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ดินแดนสุวรรณภูมิ จะทำให้พืชพรรณธัญญาหารที่เกิดขึ้นใหม่บนความสะอาดหลังการเกิดวิกฤติน้ำท่วมปีนี้ เมื่อน้ำลดให้ข้าวมีคุณค่ายิ่งกว่าทอง คือ ข้าวที่มีกลิ่นหอม และเป็นอาหารสมุนไพร กลับคืนสู่วิถีชาวนาไทยอีกครั้ง
การดูแลรักษาข้าวด้วยอีเอ็มเทคโนโลยี
การปรุงอาหารของพืช ต้องอาศัย อาหารที่ได้จากดิน อากาศ (ได้จากการตรึงไนโตรเจน) น้ำ (น้ำมีชีวิตที่ได้จากท้องนา) และแสงสว่าง (ได้จากดวงอาทิตย์) เมื่อฉีดพ่นด้วยจุลินทรีย์อีเอ็ม ซึ่งมีจุลินทรีย์ Azotobacter และ Photosynthetic ไปเกาะที่ใบ เขาจะทำหน้าที่ตรึงก๊าซไนโตรเจนแล้วเกิดการปรุงอาหาร จึงทำให้พืชมีสีเขียวโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยยูเรีย เมื่อใช้อีเอ็มฉีดพ่นไปที่ใบ ทำให้ใบข้าวทุกใบได้ทำหน้าปรุงอาหารช่วยกัน หรือทุกใบได้ทำหน้าที่ช่วยกันสร้างพลังงานที่เซลล์ใบ ดังนั้นนาหว่าน หรือนาหว่านน้ำตมให้ฉีดพ่นต้นข้าวด้วยจุลินทรีย์อีเอ็ม เมื่อข้าวมีอายุ 15 วัน, ข้าวมีอายุ 45 วัน, 75 วัน ให้ฉีดพ่นจุลินทรีย์อีเอ็ม ประมาณ 100 ลิตร / ไร่ (อัตราการผสม อีเอ็มขยายครึ่งลิตรกากน้ำตาล ครึ่งลิตร น้ำสะอาด 100 ลิตร)
หากพบว่าปีแรกที่ดินยังไม่สมบูรณ์ พบเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลระบาด เพลี้ยะไฟ เพลี้ยะจักจั่นเขียว ราน้ำค้าง อย่าใช้สารเคมีโดยเด็ดขาด ให้ปรึกษาปราชญ์ชาวนาแห่งปากน้ำโพธิ์ คือ นายประไพ เรือนอ่อน โทรศัพท์ 080-6871933 และถ้าพบว่า หอยเชอรี่ระบาดก็อย่าใช้สารเคมีลงในนาอย่างเด็ดขาด เพียงแต่ให้แกลบใหม่ ๆ จากโรงสีข้าว 1 ปี๊บที่มีกลิ่นละอองข้าวหอมกรุ่น นำมารดด้วยอีเอ็ม พอหมาด ๆ แล้วก็เอารำ 5 กิโลกรัมมาคลุกกับแกลบ หมักจนแห้ง 5-6 วัน นำไปวางไว้ตามน้ำที่มีหอยเชอรี่ มันหอมกลิ่นแกลบกับรำหมักอีเอ็มเลยอยากลอง ใช้ปากงับแกลบนึกว่าจะอร่อย ที่ไหนได้กลืนไม่เข้า คายไม่ออก นอนยิ้มตายในนาอย่างน่าสงสาร
เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาได้ส่งเสริมให้ทำปุ๋ยหมัก (โบกาฉิ) กองเล็ก ๆ ทีละปี๊บ คือ นำมูลสัตว์ แกลบ รำละเอียดอย่างละ 1 ปี๊บทำปุ๋ยหมัก ผลที่เกิดคือมีปัญหารำราคาแพง มูลสัตว์หาลำบากเพราะปัจจุบันชาวนาใช้เครื่องจักรการเกษตรแทนเลี้ยงวัว ควาย และกระบวนการทำค่อนข้างยุ่งยาก ผู้เขียนจึงวางแผนทำปุ๋ยกองโต ทำครั้งละหลายร้อยตัน ทำให้กระบวนการทำง่าย ต้นทุนถูกลง คุณสมบัติเหมือนเดิมไม่แตกต่าง ซึ่งต้องเตรียมวัสดุ และ เงินเพื่อดำเนินการดังนี้
ตาราง ที่ 1 รายการวัสดุทำปุ๋ยกองโต และ ราคาปุ๋ยกองโต
ที่
|
รายการวัสดุ
|
น้ำหนัก
(ตัน)
|
ราคา/
หน่วย
|
รวมราคา
(บาท)
|
หมายเหตุ
|
1.
|
มูลสัตว์ (มูลไก่, วัว)
|
10 ตัน
|
1 บาท
|
10,000 บาท
|
น้ำหนักสุทธิ
|
2.
|
เปลือกมันสำปะหลัง
|
10 ตัน
|
1 บาท
|
10,000 บาท
|
30 ตัน
|
3.
|
แกลบ-ผักตบชวา-ใบไม้ (สด-แห้ง)
|
10 ตัน
|
1 บาท
|
10,000 บาท
|
ราคาตันละ
|
4.
|
จุลินทรีย์อีเอ็ม
|
3 ลิตร
|
90 บาท
|
270 บาท
|
1,109 บาท
|
5.
|
กากน้ำตาล
|
100 ลิตร
|
10 บาท
|
1,000 บาท
|
ราคา 1.10 บาท
|
6.
|
รถฉีดน้ำ
|
5,000 ลิตร
|
1,000 บาท
|
1,000 บาท
| |
7.
|
รถไถผสมพรวน
|
2 ชั่วโมง
|
1,000 บาท
|
1,000 บาท
| |
รวม
|
33,270 บาท
|
วิธีทำ
1. ขยายจุลินทรีย์อีเอ็ม คือ เติมอีเอ็ม 1 ลิตร และกากน้ำตาล 5 ลิตรลงในถัง 200 ลิตร (ทำแบบเดียวกัน 5 ถัง) เติมน้ำสะอาดลงในถัง 200 ลิตรจนเต็มถัง ปิดฝาให้สนิท ไม่ให้อากาศเข้า ทิ้งไว้ 5 วัน ก็จะได้อีเอ็มขยาย 200 ลิตรที่สมบูรณ์ 5 ถังจำนวน 1,000 ลิตร
2. ในวันที่ 5 ให้นำอีเอ็มขยายขึ้นรถฉีดพ่นน้ำ ขนาดบรรจุ 5,000 ลิตร เติมอีเอ็มขยายลงในรถฉีดน้ำ 1,000 ลิตร และเติมกากน้ำตาลที่เหลืออีก 95 ลิตรลงในรถน้ำ (เอากากน้ำตาลละลายน้ำก่อนเทลงในรถน้ำ )
3. เตรียมวัสดุทำปุ๋ย เช่น มูลสัตว์ เปลือกมันสำปะหลัง ใบไม้ ผักตบชวา กองไว้ใกล้ ๆ กัน แล้วใช้รถไถนาเดินตาม หรือ รถแทรกเตอร์ดัน และไถพรวนเพื่อคลุกให้วัสดุผสมกัน
4. ฉีดน้ำที่ผสมอีเอ็มและกากน้ำตาลลงไปในวัสดุเรื่อย ๆ จนกว่าจะเกิดความชื้นพอหมาด ๆ ประมาณ 50 % จึงหยุดฉีด ระวังอย่าให้แฉะเกินไป มีความชื้นมาก ภายใน 10 วันจะเกิดเห็ดฟางขึ้นที่กองปุ๋ยหมัก จะได้เก็บกินจนกว่าความชื้นหมด น้ำที่เหลืออาจนำไปฉีดพ่นต่อในแปลงนาได้
การหมัก
2. ในวันที่ 3 ให้ไถพรวนผสมอีกครั้ง เพื่อให้ส่วนผสมคลุกกันใหม่อีกครั้ง เพื่อลดความร้อนในกองปุ๋ยหมักให้พอดี ซึ่งจะให้การหมักเชื้ออีเอ็มขยายในกองปุ๋ยได้ดียิ่งขึ้น
3. ในวันที่ 5 ให้ไถพรวนผสมกองปุ๋ยเพื่อให้เกิดการผสมกันใหม่อีกครั้ง นำกระสอบมาบรรจุแล้วนำไปหว่านในนาทันที
4. ถ้าผสมเสร็จแล้วต้องการบรรจุกระสอบเลยก็ทำได้ แต่ใช้กระสอบพลาสติกสานบรรจุ กระสอบละ 20 - 25 กิโลกรัม กระสอบต้องมีการระบายอากาศดี บรรจุในกระสอบ 5-7 วันให้เชื้ออีเอ็มขยายเกิดราขาวก่อน จึงสามารถนำไปใช้ได้
หมายเหตุ
หลังจากหมักได้ 5 วันเกิดการหมักที่สมบูรณ์ดีแล้ว จะพบราเส้นใยคล้าย ๆ กับใบไม้หมักทับถมกันในป่า เป็นเส้นใยคล้ายสปอร์เห็ดพบอยู่มากมายที่เกิดจากกระบวนการหมัก เมื่อนำไปใช้ในนาข้าว จะทำให้ข้าวโตเร็ว แข็งแรง ให้ผลผลิตสูงไร่ละ 1,000 กิโลกรัม เมื่อนำไปหว่านใส่นา ข้าวจะมีกลิ่นหอม ฟางจะมีเห็ดฟางออกเห็ดให้ได้เก็บกินตลอดปี
ตารางที่ 2 ต้นทุนการปลูกข้าวนาหว่านน้ำตมหลังน้ำลด
ที่
|
รายการ
|
จำนวน
|
ราคา/หน่วย
|
ราคา
|
หมายเหตุ
|
1.
|
อีเอ็มโบกาฉิ (ปุ๋ยหมักอีเอ็ม)
|
200 กิโลกรัม
|
1.10 บาท
|
220 บาท
| |
2.
|
เมล็ดพันธุ์ข้าว
|
12 กิโลกรัม
|
25 บาท
|
300 บาท
| |
3.
|
อีเอ็ม
|
2 ลิตร
|
90 บาท
|
180 บาท
| |
4.
|
กากน้ำตาล
|
5 ลิตร
|
15 บาท
|
75 บาท
| |
5.
|
การทำเทือก
|
1 ไร่
|
500 บาท
|
500 บาท
| |
6.
|
เก็บเกี่ยว
|
1 ไร่
|
500 บาท
|
500 บาท
| |
1,775 บาท
|
บันได้ 9 ขั้น ใช้วิกฤติคือโอกาสการทำนาปรังหลังน้ำท่วม
มวลอินทรีย์ในนาข้าวคือ ต้นข้าวที่เน่าเปื่อย เป็นมลพิษมีมวลสาร 500 กิโลกรัม / ไร่ จะทำให้เป็นมวลพิษเหล่านี้เป็นพลังงานที่เกิดประโยชน์ต่อต้นข้าว โดยการใช้อีเอ็มเทคโนโลยี ด้วยการดำเนินการตามบันได 9 ขั้นได้ดังนี้
ขั้นที่ 1. ขยายจุลินทรีย์อีเอ็ม
ขยายอีเอ็ม 1 ลิตร ให้เป็นอีเอ็ม 20 ลิตร คือ เอาอีเอ็ม 1 ลิตร กากน้ำตาล 1 ลิตรเทลงในแกลลอน 20 ลิตร แล้วเติมน้ำสะอาดที่ดื่มได้ลงไปในแกลลอนอีก 18 ลิตรขยายเชื้อทิ้งไว้ 5-7 วัน เรียกว่า “อีเอ็มขยาย”
ขั้นที่ 2. ปฎิบัติการสลายมวลสารพิษในนาข้าวให้ดินสะอาดก่อนปลูกข้าว
ขั้นที่ 3. ปรับปรุงบำรุงดินด้วยอีเอ็มโบกาฉิ
ขั้นที่ 4. การทำเทือกเพื่อเตรียมดินก่อนหว่านเมล็ดพันธุ์
การทำเทือกคือ ก่อนที่เราจะทำการหว่านข้าวต้องทำให้ดินในนาเป็นโคลนเหลวแล้วค่อยปล่อยน้ำออกที่นาเราก็จะเหลือแต่โคลน รอการนำเมล็ดข้าวมาหว่านอีก 1-2 สัปดาห์ต่อมา
ขั้นที่ 5. คัดเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยน้ำเกลือ
5.1 นำถัง 20 ลิตร เติมเกลือลงไปในถัง 1.50 กิโลกรัม เติมน้ำลงไป 15 ลิตร คนให้เกลือละลาย แล้วเอาเมล็ดพันธุ์ข้าวแช่ลงในน้ำเกลือที่ละน้อย เมล็ดข้าวที่ลอยทั้งหมดให้คัดแยกออกไปให้เป็ด ไก่กิน อย่าเอามาทำพันธุ์เป็นอันขาด
5.2 นำถัง 20 ลิตร เติมอีเอ็มขยายครึ่งแก้ว แล้วเติมน้ำสะอาดลงไป เอาเมล็ดพันธุ์ข้าวจากก้นถังมาแช่ นาน 1 คืนแล้วนำมาบรรจุในกระสอบ หมักให้เปลือกข้าวนุ่ม 1-2 คืน จึงนำเมล็ดพันธุ์ข้าวไปหว่าน
ขั้นที่ 6. อัตราการหว่านเมล็ดพันธุ์ข้าว
การหว่านเมล็ดพันธุ์ในปีที่ 1, 2, 3, 4...ใช้อัตราลดลงเรื่อย ๆ เพราะการใช้จุลินทรีย์อีเอ็มจะปรับปรุงบำรุงดินให้เป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อย ๆ ตามวันเวลาที่ใช้ เมื่อใช้ต่อเนื่องนานหลาย ๆ ปี ให้ลดปริมาณเมล็ดพันธุ์ลง เพราะดินดีแล้ว ข้าว 1 ต้นจะแตกกอได้ถึง 40 – 50 รวง จึงควรใช้เมล็ดพันธุ์ดังนี้
ขั้นที่ 7 การดูแลข้าวนาปรังด้วยอีเอ็มเทคโนโลยี
7.1 ฉีดพ่นอีเอ็ม 2-3 ครั้งเมื่อข้าวได้ 20 วัน 45 วัน และ 65 วัน
7.2 รักษาระดับน้ำ 3 เซนติเมตร 5 เซนติเมตร และ 10 เซนติเมตร เมื่อข้าวมีอายุ ได้ 20 วัน 45 วัน และ 65 วัน ตามลำดับ พร้อมทั้งหยดน้ำอีเอ็มขยายทุกครั้งที่ระบายน้ำเข้านา
ขั้นที่ 8 ระบายน้ำออกรอการเก็บเกี่ยวผลผลิตด้วยความยินดี
เมื่อข้าวนาปรังมีอายุประมาณ 90 รวงกำลังสุกเมล็ดเหลืองอร่ามเป็นระยะพลับพลึงให้ระบายน้ำออกประมาณ 10 วันก่อนการเก็บเกี่ยว รอการเก็บเกี่ยวด้วยความชื่นชม ระหว่างเก็บเกี่ยวใบข้าวจะไม่กรอบแห้งเพราะ ราก ลำต้น และใบ จะสด จะพบว่า ข้าว 1 รวงมี 13-15 ระแง้ รวงละ 350-400 เมล็ด ทุกเมล็ดจมน้ำหมด เพราะ ราก ลำต้น และใบได้ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์จนถึงวันเก็บเกี่ยว วางแผนการเก็บเกี่ยวโดยระบายน้ำออก ผลผลิตปีแรก 600 กิโลกรัม 800 กิโลกรัมและ 1,000 – 1,200 กิโลกรัม/ไร่ ในปีที่ 1 ปีที่ 2 และปีที่ 3...ตามลำดับ
ขั้นที่ 9 ขั้นเตรียมดินทำนาปรังรอบที่ 2หรือทำนาปีในฤดูกาลรอบต่อไป
ผลผลิต และ การเก็บเกี่ยว
ต้นทุนการผลิตถูกลง ผลผลิตในปีแรกที่ใช้จุลินทรีย์อีเอ็มครั้งแรกไม่ต่ำกว่า 600 กิโลกรัม / ไร่ ในการเพาะปลูกครั้งที่ 2 ครั้งที่ 3 ข้าวจะมีผลผลิตที่ 800 กิโลกรัม และ 1,000 กิโลกรัม ตามลำดับ พี่น้องชาวไร่ชาวนาพอมองเห็นต้นทุน และมองเห็นกำไรหลังการการเก็บเกี่ยว ถ้าขายข้าวได้ตามราคารัฐบาลประกันราคากิโลกรัมละ 15 บาท ชาวนาจะมีกำไร 7,225 บาทในการทำนารอบแรก
ปลูกข้าวครั้งเดียวเกี่ยวได้ 2 ครั้ง
หลังเก็บเกี่ยวให้ระบายน้ำออกจากนา หว่านปุ๋ยหมักอีเอ็มโบกาฉิ 200 กิโลกรัมต่อไร่ เพื่อเตรียมทำนา รอบ 2 โดยใช้ “ตอซังข้าวเป็นต้นพันธุ์” ต้นข้าว 1 ต้นจะมีปล้อง 7 ปล้อง หลังเก็บเกี่ยวข้าวแล้วฉีดพ่นอีเอ็มขยาย 100 ลิตรต่อไร่ แล้วใช้ล้อรถเหยียบให้ตอตอซังล้ม นอนปูไปตามพื้นนาราบติดโคลนตม ภายใน 15 วันต้นข้าวจะค่อย ๆ งอกจากตาเป็นต้นใหม่มี 3-4 ใบ ในสัปดาห์ที่ 2, 3, 4,... ระบายน้ำเข้าในนาให้สูงขึ้นตามอายุของต้นข้าวในระดับ 5 เซนติเมตร 10 เซนติเมตร และ 15 เซนติเมตร ตามลำดับ ที่ต้นน้ำต้องตั้งถังเติมน้ำให้เติมถัง 200 ลิตรเติมอีเอ็มขยาย 1 ลิตร และกากน้ำตาล 1 ลิตรเติมไว้ที่ต้นน้ำที่ระบายน้ำเข้านา
ฉีดพ่นอีเอ็มเมื่อลูกข้าวมีอายุ 15 วัน และมีอายุ 30 วัน 100 ลิตรต่อไร่ โดยเติมอีเอ็มขยายครึ่งลิตร กากน้ำตาลครึ่งลิตรลงในถัง ฉีดพ่นข้าว 2 ครั้ง โดยไม่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ อีกประมาณ 60 วันจะได้เก็บเกี่ยวข้าวครั้งที่ 2 จากต้นข้าวที่แตกหน่อออกจากตา 1 ต้นจะขยายแตกกอต่อไปอีก กอละ 6-7 ต้น แต่ละต้นมีเมล็ดประมาณ 270 – 300 เมล็ด เมื่อใช้จุลินทรีย์อีเอ็มฉีดพ่นทุกเมล็ดน้ำหนักดี ไม่มีเมล็ดลีบ ให้ผลผลิตได้อีก 500 -600 กิโลกรัมต่อไร่ เป็นรายได้ช่วยชาวนาได้อย่างยั่งยืนต่อไป
ตารางที่ 3 ต้นทุนการปลูกข้าวแบบล้มตอซัง
ที่
|
รายการ
|
จำนวน
|
ราคา/หน่วย
|
ราคา
|
หมายเหตุ
|
1.
|
อีเอ็มโบกาฉิ (ปุ๋ยหมักอีเอ็ม)
|
200 กิโลกรัม
|
1.10 บาท
|
220 บาท
| |
2.
|
อีเอ็มขยาย
|
20 ลิตร
|
2 บาท
|
40 บาท
| |
3.
|
กากน้ำตาล
|
5 ลิตร
|
15 บาท
|
75 บาท
| |
4.
|
การล้มตอซัง
|
1 ไร่
|
500 บาท
|
500 บาท
| |
5.
|
เก็บเกี่ยว
|
1 ไร่
|
500 บาท
|
500 บาท
| |
รวม
|
1,335 บาท
|
ประโยชน์ที่ชาวนาได้รับ
1. ไม่ต้องใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว จะใช้ต้นข้าว หรือตอซังแทนเมล็ดพันธุ์
2. ไม่สิ้นเปลืองค่าไถ ไม่สิ้นเปลืองค่าแรงหว่านเมล็ดพันธุ์ ไม่สิ้นเปลืองค่าปักดำ
3. กระชับเวลาในการทำงาน ระการเก็บเกี่ยวให้สั้นลง มีเวลาว่างสำหรับประกอบอาชีพเสริมอย่างอื่น มากขึ้น
4. ลดปัญหาเพลี้ยะไฟ เพลี้ยะกระโดด หายไป เพราะต้นข้าวใหม่ได้อาหารบริสุทธิ์จากลำฟางของต้นแม่หล่อเลี้ยง เป็นภูมิคุ้มกันที่เกิดมาจากธรรมชาติที่แท้จริง
ข้าวที่ปลูกด้วยอีเอ็มเทคโนโลยีเซลล์ใบ ลำต้น และรากจะสด ไม่ตายเพียงแต่ใช้รถเหยียบให้ลำตอซังจมในขี้โคลน “ลูกข้าว” (Tiller) งอกออกมาจากตาทุกปล้องน่าอัศจรรย์มาก เมื่อหว่านอีเอ็ม ฉีดพ่นอีเอ็ม หว่านโบกาฉิ อีก 45 วันจะได้เก็บเกี่ยวข้าวนอบที่ 2 มีผลผลิตไม่ต่ำกว่า 400 – 600 กิโลกรัม / ไร่ ไม่แปลกแต่ก็เป็นความจริง...
หมายเหตุ
บทความนี้สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย ห้ามคัดลอกส่วนใดส่วนหนึ่งเพื่อตีพิมพ์โฆษณาเผยแพร่ หากต้องการนำไปตีพิมพ์ โปรดขออนุญาตก่อน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น